วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการของหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย


ทวีปยุโรปเป็นแหล่งกำเนิดของหนังสือพิมพ์  ในรูปแบบต่าง ๆ และเทคโนโลยีจนต่อมาในครึ่งหลัง พุทธศตวรรษที่ 24 วิทยาการด้านหนังสือพิมพ์จึงแพร่กระจายเข้ามาสู่สังคมไทย โดยการนำของกลุ่มมิชชันนารีหรือหมอสอนศาสนา จากทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ
มิชชันนารีที่มีบทบาทสำคัญมากคนหนึ่ง ชื่อ นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2378 ในฐานะมิชชันนารีของสมาคมศาสนาแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า คณะ ABCFM (American Board of Commissioners for Foreign Missions) ซึ่งมีนโยบายส่งมิชชันนารีจำนวนมากไปเผยแผ่ศาสนาในต่างแดน หมอบรัดเลย์ ได้เข้าร่วมโครงการนี้ และเดินทางมาสู่กรุงสยาม การเดินทางมาในครั้งนั้น หมอบรัดเลย์ได้นำเอาแท่นพิมพ์ และตัวพิมพ์อักษรไทยที่มิชชันนารีชื่อ อาบีล ซื้อทิ้งไว้ ที่สิงคโปร์เข้ามาด้วย ผลงานชิ้นแรกของหมอบรัดเลย์ คือ สิ่งพิมพ์ทางคริสต์ศาสนา ซึ่งได้พิมพ์แจกจ่ายให้แก่ประชาชนจำนวนมาก ใน พ.ศ. 2387 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หมอบรัดเลย์ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรกของกรุงสยาม คือ บางกอกรีคอร์เดอร์ (The Bangkok Recorder) โดยออกเป็นราย 15 วัน แต่จำหน่ายได้เพียงปีเศษก็ล้มเลิกไป เนื่องจากหมอบรัดเลย์เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่สนับสนุน ต่อมาใน พ.ศ. 2408 ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมอบรัดเลย์ได้ออกหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนั้น ชาวตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุด เป็นจุดเปลี่ยนของสยาม" เพราะเป็นการนำเสนอทัศนะและมุมมองใหม่ๆ ในการมองโลก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เนื่องจากเวลานั้น ในสังคมไทยยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมากนัก สำหรับหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์นี้ หมอบรัดเลย์ใช้ชื่อว่า หนังสือจดหมายเหตุบางกอกรีคอร์เดอร์ เพราะในเวลานั้นยังไม่มีการใช้คำว่า หนังสือพิมพ์ โดยรายงานเหตุการณ์คล้ายจดหมายเหตุของไทยแต่ดั้งเดิม เพียงแต่ประกอบด้วยข่าวสั้นหลายๆ ข่าว ไม่เขียนยาวๆ เหมือนจดหมายเหตุ จึงถูกเรียกว่า "จดหมายเหตุอย่างสั้น" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อหนังสือจดหมายเหตุประเภทนี้ว่า "หนังสือพิมพ์"
การออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกๆ ของหมอบรัดเลย์ไม่สะดวกราบรื่นนัก เนื่องจากเสรีภาพในด้านการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครองนั้น ค่อนข้างขัดแย้งกับระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งบทความไปตีพิมพ์ ในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอยู่เนืองๆ เพื่อทรงอรรถาธิบายประวัติศาสตร์ และโบราณราชประเพณีของไทย นับเป็นการสานสัมพันธ์กับชาวต่างชาติโดยใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อกลางอย่างชาญฉลาด และทรงพระปรีชายิ่ง ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ทรงออกหนังสือพิมพ์ชื่อว่า ดรุโณวาท ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของคนไทยที่จัดทำและดำเนินการโดยคนไทย พิมพ์ออกจำหน่ายเป็นรายสัปดาห์ มีเนื้อหาสาระที่ทันสมัย แสดงความสามารถ และสติปัญญาของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ยุคนั้น เพื่อชี้ทิศทางของสังคมไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของหนังสือพิมพ์ โดยให้หนังสือพิมพ์มีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากนี้ยังทรงเป็นบรรณาธิการ และทรงอุปถัมภ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ  เช่น หนังสือพิมพ์ จีนโนสยามวารศัพท์ สยามออบเซอร์เวอร์ ไทย ดังนั้น ในสมัยนี้ จึงมีหนังสือพิมพ์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รัชสมัยของพระองค์จึงได้รับการขนานนามว่า เป็น "ยุคทองของการหนังสือพิมพ์ไทย" นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อในการปกครอง โดยชี้ให้เห็นว่า สยามควรเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรเลียนแบบสังคมตะวันตก ซึ่งหลายอย่างไม่สามารถเข้ากันได้กับสังคมไทย ทรงชี้ให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ และมีพระราชดำริว่า คนไทยต้องแก้ไขตนเอง โดยควรขยันทำงาน เลิกเล่นการพนัน มีการศึกษา ใช้สมองมากกว่ากำลังกาย ประพฤติตนเป็นสุภาพบุรุษ ไม่หยาบคาย และสตรีต้องมีสิทธิเท่าเทียมบุรุษ ทั้งยังทรงชี้ให้เห็นความจำเป็นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์เปรียบประดุจบิดาของราษฎร แต่กระแสแนวคิดตะวันตกในเวลานั้น ค่อนข้างรุนแรง คนไทยกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า "กลุ่มปัญญาชน" กลับมีแนวคิดว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเครื่องกีดกั้นความเจริญ โดยเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ หมอบรัดเลย์นำเสนอรูปแบบการปกครองแบบใหม่ในสังคมไทย กลุ่มปัญญาชนที่มีแนวคิดนี้ เช่น เทียนวรรณ ซึ่งใช้นามปากกาว่า "ต.ว.ส. วัณณาโภ" ได้ออกวารสารชื่อ ตุลวิภาคพจนกิจ รายปักษ์ และ ศิริพจนภาค รายเดือน เรียกร้องสิทธิในการพูด และให้นิยามความเจริญของสยามว่า คือ ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ต่อมามีกลุ่มทหารหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ยังเติร์ก" ใช้นิตยสาร ยุทธโกษ (หรือฉบับเดิมชื่อว่า ยุทธะโกษ) เป็นสื่อแสดงความเห็นใจประชาชนผู้ยากไร้ และให้นิยามความเจริญว่า คือ ประชาธิปไตย นอกจากนี้ นายเซียวฮุดเส็ง  สีบุญเรือง ได้ออกหนังสือพิมพ์ชื่อว่า จีนโนสยามวารศัพท์ ตอกย้ำแนวคิดปฏิวัติแบบ ซุนยัดเซ็น ซึ่งมีอิทธิพลต่อปัญญาชนสมัยนั้นมาก
การต่อสู้ด้วยข่าวสารระหว่างราชสำนักกับสามัญชนดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 และได้เป็นรัฐบาลปกครองประเทศ แต่ต่อมากลับใช้อำนาจในการปกครอง ทิ้งอุดมการณ์เสรีภาพ หันไปยึดลัทธิชาตินิยมและลัทธิผู้นำ มีการควบคุมและแสวงหาประโยชน์จากสื่อ สิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารถูกจำกัดยิ่งกว่าเดิม จนมาถึงสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ หนังสือพิมพ์ถูกควบคุมจนไม่สามารถแสดงบทบาททางการเมืองได้ นักหนังสือพิมพ์หลายคนพยายามต่อต้านแต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ "14 ตุลา 2516" หนังสือพิมพ์จึงเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น